ฉันเคยอธิฐานจิตภาวนาให้ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชาติบ้านเมือง ความในใจที่มันเกาะกินใจของฉัน คือตอนนั้นฉันจบ กศน.ระดับ ม.3 จนกระทั่งฉันอายุ 18 ปี สายตาของฉันไปกระทบข้อความที่จารึกเป็นอักขระตัวหนังสือในนิตยสารฉบับหนึ่ง ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า “ความคิดเป็นแม่บทใหญ่ของการพูด และการกระทำ กิจที่จะทำ คำที่จะพูด ทุกอย่างล้วนออกมาจากความคิดทั้งสิ้น”และก็บอกเล่าเรื่องราวของความเป็นครู ฉันรู้สึกคล้ายได้รับสารอะไรบางอย่างส่งไปที่ระบบความคิด ข้อเขียนที่ไม่ต้องพูด แต่ฉันก็ได้ยินเสียงว่า “คิดให้เป็นชีวิตก็เปลี่ยน ชีวิตจะเปลี่ยนได้ด้วยระบบคิด” และการเปลี่ยนความคิดของคนเราได้นั้น มิได้มาจากการอยู่แต่ห้องแคบ ในกล่องใบเล็ก ๆ เฉกเช่นฉัน หากไม่ได้เจอและอ่านนิตยสารฉบับนั้น ป่านนี้ฉันไม่รู้จะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ฉันสบายดีจากการอ่านข้อความนั้น โลกภายในที่เข้มแข็งของฉันมาจากความคิด และความคิดนี้ จะเป็นเครื่องมือไปต่อสู้กับโลกอีกใบที่เป็นภายนอกได้แข็งแกร่ง และคนจำเป็นต้องเรียนรู้ ซึ่งการอ่านนั้นสามารถสร้างกระบวนการคิด ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ มีขวัญและกำลังใจ แม้ไม่ได้ยินเสียงแต่ก็สัมผัสรู้ได้ถึงความที่สื่อสารออกมาว่าเป็นอย่างไรสบายดีหรือไม่ ทำให้ได้ฉุกคิด อ่านแล้วอาจได้อาชีพใหม่ อ่านแล้วเพิ่มเติมสิ่งที่รู้อยู่แล้วให้กระจ่างชัด อ่านแล้วทำให้ได้ยิ้ม บางครั้งก็หัวเราะ บางตัวอักษรทำน้ำตาไหลมันช่างเป็นแรงบันดาลใจเหลือเกิน แรงบันดาลใจในการอ่านของฉันจึงมาจากข้อความนั้นจาก พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 หนังสือเล่มแรกของฉันจึงชื่อว่า “เด็ก กศน.แล้วไง คิดเป็นชีวิตก็เปลี่ยน” ฉันจึงตั้งปณิธานสานต่อความคิดที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้แก่เด็ก กศน.ได้เรียนรู้ และอยากให้พวกเขารักในการอ่านเพื่อนำไปสู่การมีกระบวนการคิดที่ดี เพราะฉันรู้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเจริญขึ้น เมื่อพวกเขาเปลี่ยน ประเทศก็เปลี่ยนตาม ทุกอย่างพัฒนาให้ดีขึ้นได้